ยุคใหม่ (Modern Age) ค.ศ. 1800 - ปัจจุบัน
ศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) เริ่มขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในประเทศฝรั่งเศส สืบเนื่องจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะอย่างขนานใหญ่ ทั้งรูปแบบและจุดประสงค์ โดยเฉพาะสร้างสรรค์งานจิตรกรรม ศิลปินยุคใหม่ต่างพากันปลีกตัวออกจากการยึดหลักวิชาการ (Academic) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่มีรากฐานมาจากศิลปะกรีกและโรมัน มาใช้ความรู้สึกนึกคิดและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนอย่างอิสระ แยกศิลปะออกจากศาสนาโดยสิ้นเชิง ศิลปะจึงเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลอย่างแท้จริง ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดรูปแบบศิลปะใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ดังจะได้กล่าวพอสังเขปดังนี้
ศิลปะแบบนีโอคลาสสิก (Neo-Classic)
ลัทธิคลาสสิคใหม่มีแนวความคิดและการปฏิบัติอยู่ที่การลอกเลียนศิลปกรรมโบราณแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะศิลปะของกรีกโบราณและอียิปต์ ชาก - ลุย เดวิด เป็นผู้นำลัทธินี้และ โอกุสต์ โคมินิกแองเกรส์


ศิลปะแบบโรแมนติก (Romanticism)หรือจินตนิยม

เดอลากรัว (Delacroix) วิลเลียม เทอเนอร์ (William Turner) อังกฤษ
จอห์น คอนสเตเบิล (John Constable) โกย่า (Goya) สเปน
ศิลปะแบบเรียลลิสม์ (Realism)
ศิลปินกลุ่มเรียลลิสม์มีความเชื่อว่าความจริงทั้งหลายคือความเป็นอยู่จริง ๆ ของชีวิตมนุษย์ ดังนั้น ศิลปินกลุ่มนี้จึงเขียนภาพที่เป็นประสบการณ์ตรงของชีวิต เช่น ความยากจน การปฏิวัติ ความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยการเน้นรายละเอียดเหมือนจริงมากที่สุด ศิลปินสำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ โดเมียร์ (Daumier) ชอบวาดรูปชีวิตจริงของความยากจน คูร์เบต์ (Courbet) ชอบวาดรูปชีวิตประจำวันและประชดสังคม มาเนต์ (Manet) ชอบวาดรูปชีวิตในสังคมเช่นการประกอบอาชีพ

มีลเลต์ (Millet) ประติมกร โรแดง (Auguste Rodin)
ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism)


มาเนต์ (Edouard Manet 1832 - 1833) โมเนต์ (Claude Monet 1840 - 1926)
เรอนัวร์ (Pierre Augusts Renoir 1841 - 1919) เดอกาส์ (Edgar Degas 1834 - 1917)
ปิสซาร์โร (Camille Pissaro 1830 - 1903)
ศิลปินในยุคนีโออิมเพรสชั่นนิสซึ่ม เซอราต์ (Georges Pierre Seurat 1850 - 1891)
ศิลปินในลัทธิโพสต์-อิมเพรสชั่นนิสซึ่ม (Post-Impressionism)
พอล เซซานน์ (Paul Cezanae 1839 - 1906) แวนโก๊ะ (Vincent Van Gogh 1853 - 1890)
โกแก็ง (Paul Gaugain 1848 - 1903) โลเทร็ค (Henri de Toulouse Lautrec 1864 - 1901)
ผลงานมีรูปทรงอิสระ สร้างขึ้นตามสัญชาตญาณแห่งการแสดงออกอย่างเต็มที่ งานจะปรากฎความสนุกสนานในลีลาของรอยแปรงและจังหวะของสีต่าง ๆ มีการตัดเส้นรอบนอกของสิ่งต่าง ๆ เพื่อเน้นให้เด่นชัดมีรูปแบบง่าย ๆ เรียบ ๆ ต้องการแสดงทั้งรูปทรงและแสงไปพร้อมกันนิยมใช้สีตัดกันรุนแรง แต่มีความประสานสัมพันธ์กัน โดยส่วนรวม เช่น ใช้สีเขียว สีส้ม สีน้ำเงิน สีแดง และสีม่วง เป็นต้นสีมีความสำคัญกว่าเรื่องของหลักการทัศนียภาพและรูปทรงผลงานมีลักษณะเป็นแบบสัญลักษณ์ มีความเกี่ยวพันกับเรื่องศีลธรรม จรรยา ปรัชญา หรือเงื่อนไขความคิดทางการเมืองและทางสังคมน้อยมาก มีลักษณะเหมาะสมในการใช้ตกแต่งอาคารสถานที่มากกว่า
แสดงอารมณ์ออกมาอย่างสุดขีด แสดงความสกปรก ความหลอกลวง และความเน่าเฟะของสังคมรูปแบบการแสดงออกมีการปิดแปรผันรูปทรงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคน ต้นไม้หรืออื่น ๆ ให้ดูหมุนเวียนผิดไปจากปกติ ใช้เส้นอย่างมั่นคง แน่วแน่หนักแน่นใช้สีสดรุนแรงตัดกันยิ่งกว่าที่ปรากฎในธรรมชาตินิยมนำเอารูปแบบและความคิดทางศิลปะของพวกอัฟริกันมาใช้ เป็นการนำเอาสิ่งที่ไร้ความเจริญมาพัฒนาใหม่ ศิลปินได้แก่ มุงค์ (Edvard Munch 1863 - 1944) มาร์ค (Franz Marc 1880 - 1916) เบคมันน์ (Meckmann 1884 - 1950)
ศิลปะสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 20
ลัทธิโฟวิสซึ่ม (Fauvism)
ความหมายถึง สัตว์ป่าอันหมายถึง ผลงานของศิลปินกลุ่มนี้ ซึ่งมีลักษณะการใช้สีสันสดใสตัดกันอย่างรุนแรงลัทธินี้เกิดขึ้นและหมดความนิยมลงในประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น แนวทางการสร้างผลงาน

ศิลปิน : มาทิส (Henri Matisse 1869 - 1954) รูโอลท์ (Georges Rouault 1871 - 1958)

ลัทธิเอ็กซเพรสชั่นนิสซึ่ม (Expressionism)


ลัทธิคิวบิสซึ่ม (Cubism)
สร้างงานด้วยการวิเคราะห์ แยกรูปทรงของวัตถุ แล้วตัดทอนให้กลายเป็นรูปร่างแบบเรขาคณิตบางครั้งใช้เทคนิคการนำเอาวัสดุต่าง ๆ มาปะติดบนงานจิตรกรรมเรียกว่า วิธีคอลาจ (Collage) เน้นให้รูปทรงต่าง ๆ ที่เป็นรูปเรขาคณิตนั้น แข็ง แน่น เต็มไปด้วยปริมาตรและทำให้เกิดมิติที่สามหรือความลึกตื้นด้วยการใช้เส้นหักมุมไปมาคล้ายการเล่นหักเหลี่ยมของเพชร ศิลปินได้แก่
ปิกาสโซ่ (Pablo Picasso 1881 - 1973) บราค (George Graque 1882 - 1963)


ลัทธิฟิวเจอริสม์(FUTURISM)
เน้นการแสดงภาพที่แสดงถึงความเร็ว วิทยาศาสตร์ การเคลื่อนไหว โดยทั่วไปแนวทางศิลปะแบบฟิวเจอริสม์ได้นำเอาลักษณะของศิลปะแบบคิวบิสม์ผสมผสานกับลักษณะการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของศิลปะนี้ลัทธิ"ฟิวเจอริสม์" เป็นลักษณะการเขียนแบบคิวบิสม์ แต่มีจุดประสงค์แสดงความเคลื่อนไหว คือทำให้เกิดลักษณะแอ๊บสแตรค ที่เรียกว่า ความเร็ว และการผันแปรที่มองเห็นได้เป็นศิลปะที่เริ่มที่กรุงปรารีส


ลัทธิเซอร์เรียลลิสซึ่ม (Surrealism)
เป็นลัทธิทางศิลปะที่มีความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนตั้งแต่ราวปี ค.ศ.1924 มีความคิดตามครรลองทฤษฎีของนักจิตวิทยาซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ซึ่งเชื่อในเรื่องการแสดงออกของคนเราจากสัญชาตญาณจิตไร้สำนึกและความฝัน แนวทางในการแสดงออกของ ชากาล (Marc Chagall) ดาลี (Salvador Dali) เอินสท์ (Max Ernst)


ลัทธิป๊อปอาร์ท (Pop Art)
สร้างผลงานโดยขยายให้มีขนาดใหญ่ เพื่อให้มีผลขยายต่อสิ่งแวดล้อมข้างเคียง เช่น จัดเป็นฉากชีวิตในบ้านราวกับนำเอาของจริงมาแสดงหรือวาดให้มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็นมีความเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นสามารถปรับตัวเข้ากับศิลปะทุกรูปแบบมีเจตนารมย์สะท้อนภาพชีวิตสังคมปัจจุบัน นำเอาเรื่องราวที่คนทั่วไปคุ้นเคยจนไม่เป็นความสำคัญมา สร้างงาน ศิลปินได้แก่
ราเซนเบิร์ก (Robert Rauschenberg) อินเดียนนา (Robert Indianna) ลิสเชนสทีน (Roy Lichtenstein) โลเซนควิสต์ (James Rosenquist) วอร์ฮอล (Andy Warhol)ซีกัล (George Segal)


ลัทธิออปอาร์ท (Op Art)
แสดงผลงานด้วยการใช้สีเป็นสื่อ ใช้สีประกอบกันให้เกิดความรู้สึก ตื้นลึก ใกล้ไกล และรู้สึกเคลื่อนไหว สะดุดตามากที่สุดไม่มีรูปทรงหรือรูปร่างที่จะเข้าใจได้ว่าคืออะไร โดยมากมักใช้รูปร่าง ง่าย ๆ ทางเรขาคณิตเป็นจิตรกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อความรู้สึกด้วยตาโดยเฉพาะ พยายามทำให้มีความรู้สึกตื่นเต้น เคลื่อนไหวให้มากที่สุดตามทฤษฎีการมองเห็น ศิลปินได้แก่ อัลเบอร์ส (Joset Albers) วาซาร์ลี (Vactor Vasarely) อานูสเกวิซ (Richard Anuzkiewicz) ไรเลย์ (Riley)


สรุปแล้ว งานศิลปะสมัยใหม่ เป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปินแต่ละคน เน้นความ เป็นตัวของตัวเองของศิลปินแต่ละกลุ่มซึ่งมีมากมายหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีแนวคิด เทคนิค วิธีการที่แตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย บ้างก็สะท้อนสภาพสังคม บ้างก็แสดงมุมมองบางอย่างที่แตกต่างออกไป บ้างก็แสดงภาวะทางจิตของศิลปิน และกลุ่มชน บ้างก็แสดงความประทับใจในความงามตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการนำเอาวัสดุอุปกรณ์แบบใหม่ ๆรวมถึงเครื่องจักรกลเข้ามาใช้ในการสร้าง สรรค์งานมากขึ้น การบริโภค หรือการสนับสนุนงานศิลปะ ไม่จำกัดอยู่ที่ชนชั้นสูง ขุนนาง หรือผู้ร่ำรวยเท่านั้น แต่ยังตอบสนองต่อประชาชนทั่วไปอีกด้วย ไม่เพียงแต่ รูปแบบที่หลากหลายทางศิลปะเท่านั้นที่เกิดขึ้น รูปแบบศิลปะสมัยดั้งเดิมก็ยังได้รับ ความนิยม และสืบทอดต่อกันมาจนถึงสมัยปัจจุบันด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.hosting.cmru.ac.th/ruth/lesson/unit6.htm
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.hosting.cmru.ac.th/ruth/lesson/unit6.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น